เริม หรือโรคเริมนั้นถ้าติดเชื้อแล้วจะมีเชื้อนั้นไปตลอดชีวิต เนื่องจากไวรัสยังคงอยู่ในร่างกายถึงแม้จะไม่แสดงอาการ ไวรัสสามารถแสดงอาการได้เป็นระยะ นำไปสู่อาการที่มีลักษณะเป็นแผลพุพอง อาการนี้สามารถกระตุ้นได้จากหลายปัจจัย ได้แก่ ความเครียด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หรือระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
เนื้อหาตามหัวข้อ
เริม คืออะไร
โรคเริม (Herpes) คือการติดเชื้อไวรัสที่เกิดจากไวรัสเริม(HSV)ไวรัสเริมมีสองประเภทหลัก: HSV-1 และ HSV-2 ประเภท HSV-1 ส่วนใหญ่นั้นทำให้เกิดเริมในช่องปาก ซึ่งโดยทั่วไปจะแสดงเป็นเริมหรือตุ่มใสรอบปากและบนใบหน้าส่วนประเภท HSV-2 นั้นทำให้เกิด เริมที่อวัยวะเพศ โดยมีลักษณะเป็นแผลพุพองหรือแผลที่บริเวณอวัยวะเพศ
อาการที่พบได้บ่อยของโรคเริม
เริมในช่องปาก (HSV-1)
เริมหรือตุ่มใสตุ่มเหล่านี้เป็นตุ่มน้ำขนาดเล็กที่ทำให้รู้สึกเจ็บและเต็มไปด้วยน้ำ ซึ่งมักจะปรากฏบนหรือรอบๆ ริมฝีปาก ปาก หรือใบหน้า โรคเริมในช่องปากอาจมาพร้อมกับอาการเจ็บคอ มีไข้ หรืออาการป่วยไข้ทั่วไป มีอาการคันก่อนที่แผลจะเกิดขึ้นนั้น อาจจะรู้สึก คัน หรือรู้สึกแสบร้อนในบริเวณที่ได้รับผลกระทบ ต่อมน้ำเหลืองใกล้กับบริเวณที่ติดเชื้ออาจบอบบางหรือบวมได้
เริมที่อวัยวะเพศ (HSV-2)
แผลที่อวัยวะเพศ อาการเหล่านี้คล้ายกับโรคเริม แต่จะปรากฏบนหรือรอบๆ อวัยวะเพศ ก้น หรือทวารหนัก แผลอาจมีความเจ็บและอาจใช้เวลา 1-2 สัปดาห์ในการรักษา อาการคันก่อนที่จะมีแผล คุณอาจมีอาการคัน หรือรู้สึกแสบร้อนบริเวณอวัยวะเพศปวดปัสสาวะการมีแผลอาจทำให้รู้สึกปวดขณะปัสสาวะอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ บางรายอาจมีอาการเช่น มีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดศีรษะ และต่อมน้ำเหลืองโตในช่วงที่มีการระบาดครั้งแรกหรือมีการระบาดตามมา
สาเหตุของเริม
ไวรัสเริมชนิดที่ (HSV-1)
เริมชนิดนี้ทำให้เกิดโรคเริมในช่องปาก และมักจะติดต่อผ่านทางปาก สามารถติดต่อผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น
- การจูบ
- การใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน
- การสัมผัสกับน้ำลายที่ติดเชื้อ
HSV-1 ยังสามารถแพร่เชื้อไปที่อวัยวะเพศได้ ซึ่งโดยปกติจะผ่านการสัมผัสทางปากและอวัยวะเพศหรือการ Oralsex นั่นเอง
ไวรัสเริมชนิดที่ 2 (HSV-2)
เป็นเริมชนิดที่ทำให้เกิดโรคเริมที่อวัยวะเพศ ซึ่งติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน รวมทั้งการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปาก โรคเริมที่อวัยวะเพศยังสามารถติดต่อจากแม่ที่ติดเชื้อไปยังทารกแรกเกิดระหว่างการคลอดบุตรได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่า HSV-2 นั้นยังสามารถทำให้เกิดโรคเริมในช่องปากผ่านการสัมผัสทางปากและอวัยวะเพศ โรคเริมสามารถแพร่เชื้อได้แม้ไม่มีอาการ โดยที่ไวรัสจะอยู่บนผิวหนังหรือเยื่อเมือกอาจทำให้สังเกตุได้ยาก การไม่แสดงอาการสามารถนำไปสู่การแพร่ระบาดของโรคเริมได้ เนื่องจากบุคคลอาจแพร่เชื้อไวรัสไปยังผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว
หากสงสัยว่ามีอาการของ เริม ควรทำอย่างไร
ให้รีบไปพบแพทย์และตรวจหาสาเหตุของอาการนั้นๆเพราะแพทย์สามารถให้คำปรึกษาและข้อแนะนำเกี่ยวกับการรักษาที่เหมาะสมได้ขั้นตอนที่สามารถทำก่อนได้ด้วยตนเองก่อนไปพบแพทย์นั้น คือ ให้จดบันทึกอาการของตน ระยะเวลา และปัจจัยกระตุ้นหรือความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ข้อมูลจะเป็นประโยชน์สำหรับแพทย์ที่ดูแลและเพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตามหากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเริม แพทย์จะปรึกษาหาทางออกเกี่ยวกับตัวเลือกการรักษา รวมถึงยาต้านไวรัส โดยให้ข้อมูลในการจัดการโรค ลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อ และดูแลสุขภาพโดยรวม นอกจากนั้นแพทย์ยังสามารถตอบคำถามหรือในส่วนที่คุณอาจมีความกังวลได้
การรักษาเริมทำได้อย่างไร
เริมคือการติดเชื้อไวรัส HPV ที่ไม่สามารถออกจากร่างกายได้โดยเชื้อจะคงอยู่ไปตลอด แต่ก็มีทางเลือกในการรักษาหลากหลายวิธีที่สามารถจัดการกับอาการและลดความความรุนแรงโรคได้ วิธีการทั่วไปในการรักษาโรคเริม ตัวอย่างเช่น
ยาต้านไวรัส
ยาต้านไวรัสเป็นวิธีหลักในการรักษาโรคเริมวิธีคือยับยั้งไวรัสเริมการแพร่ตัว ลดระยะเวลาและความรุนแรงของอาการ และลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อ ยาต้านไวรัสโดยทั่วไปสำหรับโรคเริม ได้แก่ อะไซโคลเวียร์ วาลาไซโคลเวียร์ และแฟมไซโคลเวียร์ ยาเหล่านี้มีอยู่หลายรูปแบบรวมถึงยาเม็ดและครีมทาเฉพาะที่แต่ก็ยังมียาต้านไวรัสชนิดเฉพาะที่สามารถป้องกันเอชไอวีได้อีกด้วย
ยาแก้ปวด
ยาแก้ปวดที่มีจำหน่าย เช่น อะเซตามิโนเฟนหรือไอบูโพรเฟน สามารถช่วยบรรเทาความความเจ็บปวดที่เกี่ยวข้องกับโรคเริม นอกจากนี้ การทาครีมทาเฉพาะที่หรือใช้การประคบเย็นสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดได้ชั่วคราว
การป้องกันโรค เริม
การป้องกันการแพร่เชื้อเริมเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับบุคคลที่มีการมีเพศสัมพันธ์ มาตรการป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อหรือการแพร่กระจายของโรคเริม
- การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย: การใช้ถุงยางอย่างถูกต้องและต่อเนื่องในขณะที่มีเพศสัมพันธ์สามารถลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อได้
- การหลีกเลี่ยงการสัมผัสในระหว่างมีอาการ: งดมีเพศสัมพันธ์ จูบ หรือแบ่งปันของตนเองเช่นเครื่องมือเครื่องใช้ส่วนตัว เมื่อมีอาการที่เป็นเริมชนิดรุนแรง
- การสื่อสารกับคู่หรือคนรอบข้าง: การสื่อสารอย่างเปิดเผยและซื่อสัตย์กับคู่ของตนหรือคนรอบข้างในเรื่องของสถานะของเริมและประวัติการมีเพศสัมพันธ์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการป้องกันการถ่ายเชื้อและการสร้างความเชื่อใจในความสัมพันธ์
- การตรวจอย่างเป็นประจำ: การตรวจสำหรับการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ รวมถึงเริมและยังเป็นสิ่งสำคัญที่จะระบุการติดเชื้อและป้องกันการแพร่กระจายได้เร็วขึ้น
การดำเนินชีวิตกับโรค เริม กลยุทธ์ในการจัดการอย่างเหมาะสม
ในการดำเนินชีวิตกับโรคเริมแม้ว่าโรคนี้จะไม่เป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิตทั่วไป แต่มันสามารถมีผลกระทบต่อด้านอารมณ์และจิตใจได้ เพราะความไม่สบายใจ ความกังวล เเละการสงสัยในตัวเอง เป็นสิ่งที่มักเกิดขึ้นการจัดการกับโรคเฮอร์เพิร์สเริ่มต้นด้วยการเข้าใจและยอมรับสภาพแวดล้อม รวมถึงการเรียนรู้เกี่ยวกับโรคเริมอย่างละเอียด การทราบข้อมูลเกี่ยวกับโรคที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณรู้สึกมั่นใจและสามารถจัดการกับอารมณ์ได้อย่างเหมาะสมการเปิดเผยสถานะโรคเริมกับคู่เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันการถ่ายเชื้อให้กับคนอื่น นอกจากนี้การพูดคุยยังช่วยเสริมสร้างความเข้าใจและความไว้วางใจในความสัมพันธ์
ในสุดท้ายแล้วการป้องกันเริมได้ดีคือต้องมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยและใช้ความระมัดระวังในการสัมผัสกับโรคเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดโรค ซึ่งรวมถึงการใช้ถุงยางอนามัยในระหว่างมีเพศสัมพันธ์และหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์เมื่อมีบาดแผลหรือเมื่อมีอาการของโรคนั้นๆ (คัน แสบร้อน) และพูดคุยกับสถานะของโรคเริมกับคู่นอนอย่างไม่ปกปิดเพื่อตัวคุณและคู่นอนของคุณเอง