หากจะระบุว่า การตรวจเอชไอวี แบบไหนถึงดีที่สุด คงจะอธิบายได้ว่า ทุกการตรวจมีข้อดีและมีความแม่นยำด้วยกันทั้งสิ้น แต่ผู้ตรวจจำเป็นจะต้องคำนึงถึงระยะฟักตัวของเชื้อเอชไอวี (Window Period) เพื่อให้ได้ผลเลือดที่ถูกต้อง ใจความสำคัญ คือ อยากให้ทุกคนได้ทำการตรวจเอชไอวี ทั้งคนที่มีความเสี่ยงและยังไม่มีความเสี่ยง ไม่จำเป็นต้องรู้สึกเขินอาย เพราะการรู้สถานะเอชไอวีของตัวคุณเองจะช่วยให้วางแผนการใช้ชีวิตในอนาคตได้

เนื้อหาตามหัวข้อ
ใครบ้างที่ควรไปตรวจเอชไอวี
- คนที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย
- คนที่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น ในกรณีเสพสารเสพติด
- คนที่มีเพศสัมพันธ์แบบขาดสติ หรือถูกล่วงละเมิดทางเพศ
- คนที่ถุงยางอนามัยแตก หรือฉีกขาดในระหว่างที่มีเพศสัมพันธ์
- คู่สามีภรรยา ที่ต้องการวางแผนมีบุตร หรือคุณแม่ที่เพิ่งตั้งครรภ์
- คนที่เคยเป็นโรคติดต่อทางเพศมาก่อนในช่วงระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา
- บุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเสี่ยงจากอุบัติเหตุเข็มทิ่มตำ มีดผ่าตัดบาดมือ หรือสัมผัสกับสารคัดหลั่งเข้าทางบาดแผลของผู้ที่มีเชื้อไวรัสเอชไอวี
การตรวจเอชไอวีที่ได้รับความนิยม
ในปัจจุบันมีการตรวจที่หลากหลายวิธี ยึดหลักการคำนวณระยะฟักตัวของผู้ตรวจเป็นหลัก โดยแพทย์จะพิจารณาว่า ควรจะใช้วิธีไหนทำการตรวจหาเชื้อเอชไอวีให้คุณ ได้แก่
การตรวจเอชไอวี แบบแนท
แนท หรือภาษาอังกฤษว่า Nucleic Acid Test (NAT) คือ การตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อโดยตรง เหมาะสำหรับใช้ตรวจผู้ที่มีความกังวลสูง หรือมีความเครียดมากๆ ว่าจะมีหรือไม่มีเชื้อ เพราะสามารถตรวจหาเชื้อไวรัสเอชไอวีได้เร็วที่สุดเพียง 3-7 วันเท่านั้น
การตรวจแบบแนทให้ผลที่น่าเชื่อถือ และแม่นยำ ช่วยลดระยะเวลาการรอตรวจของผู้ที่มีความเสี่ยง เพราะไม่ว่าใครก็อยากรู้ผลเร็วที่สุด แต่แพทย์มักแนะนำให้ทำการตรวจซ้ำ เพราะอาจให้ผลลบปลอมได้ด้วยสาเหตุที่ภูมิคุ้มกัน ทำการกดเชื้อไวรัสเอชไอวี ไม่ให้แบ่งตัวตามธรรมชาติของร่างกายการตรวจด้วยวิธีอื่นอีกครั้ง หลังผ่านระยะฟักตัวไปแล้ว 30 วัน จึงเป็นการยืนยันผลที่แน่นอนที่สุด
การตรวจเอชไอวี แบบเอนติเจนและแอนติบอดีในชุดตรวจเดียวกัน
เป็นการตรวจหาทั้งแอนติเจน (Antigen) โปรตีน p24 ของเชื้อ และแอนติบอดี (Antibody) ภูมิคุ้มกันของเชื้อ เรามักจะเรียกการตรวจวิธีนี้ว่า การตรวจเอชไอวีด้วยน้ำยา Gen4 หรือ 4th Generation วิธีนี้ถูกพัฒนามาให้มีความไวกว่าน้ำยาตัวเก่า (3th Generation) เพราะสามารถตรวจได้เร็วกว่าที่ 14 วันหลังมีความเสี่ยง จากเดิมที่ต้องรอถึง 21 วัน การตรวจแบบนี้ เป็นวิธีที่นิยมใช้กันทั่วไปตามสถานพยาบาล และสามารถตรวจยืนยันผลได้อีกครั้งที่ 30 วันสำหรับคนที่ไม่มั่นใจในผลตรวจ

ตรวจเอชไอวีกี่รอบ ถึงจะปิดเคสได้
การตรวจเอชไอวีไม่ว่าจะเป็นครั้งไหน คุณสามารถมั่นใจในผลเลือดได้เสมอ เพราะแพทย์หรือเจ้าหน้าที่จะให้ความรู้เกี่ยวกับการตรวจและวินิจฉัยว่าคุณควรจะตรวจซ้ำหรือไม่ แต่หากคุณยังมีความกังวลใจอย่างมาก เราขอแนะนำ ดังนี้
- ตรวจเอชไอวี 1 ครั้ง หากตรวจที่ 30 วันหลังมีความเสี่ยง สามารถมั่นใจในผลตรวจได้ 99%
- ตรวจเอชไอวี 2 ครั้ง ครั้งแรกตรวจที่ 14-30 วันหลังมีความเสี่ยง สามารถมั่นใจในผลตรวจได้ 99% ครั้งที่สองตรวจที่ 90 วันหลังมีความเสี่ยง สามารถมั่นใจในผลตรวจได้แทบจะ 100%
- ตรวจเอชไอวี 3 ครั้ง ครั้งแรกตรวจที่ 21-30 วันหลังมีความเสี่ยง สามารถมั่นใจในผลตรวจได้ 99% ครั้งที่สองตรวจที่ 30-90 วันหลังมีความเสี่ยง สามารถมั่นใจในผลตรวจได้แทบจะ 100% ครั้งที่สามตรวจที่ 90 วันขึ้นไป ก็สามารถมั่นใจในผลตรวจได้เกือบ 100%
“ติดเอชไอวี ไม่เสียชีวิต
ไม่กลายเป็นเอดส์ และสามารถรักษาได้”
ดังจะเห็นได้ว่า ถ้าเราให้ความสำคัญกับการตรวจเอชไอวี หรือเพิ่มการตรวจเลือดนี้เข้าไปในโปรแกรมตรวจสุขภาพประจำปีด้วย ถือเป็นเรื่องที่ดี และเป็นการดูแลตัวเองอย่างยอดเยี่ยม คุณจะได้รับความรู้ใหม่ๆ จากแพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญ ลบความเชื่อเก่าๆ เกี่ยวกับไวรัสเอชไอวีและโรคเอดส์ หากพบเชื้อก็สามารถเข้าสู่ขั้นตอนการรักษาได้ทันที เพราะผู้ติดเชื้อไม่เสียชีวิต ไม่กลายเป็นโรคเอดส์ ถ้ารักษาด้วยการทานยาต้านไวรัสเอชไอวีแต่เนิ่นๆ ก็สามารถควบคุมเชื้อเอาไว้ได้ ไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ และไม่ต้องเสี่ยงกับโรคแทรกซ้อนต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ครับ