
การป้องกันเอชไอวี (HIV) ก้าวไปอีกขั้นเมื่อประเทศไทยเริ่มพูดถึง PrEPแบบฉีด หรือ Injectable PrEP ที่มีการวิจัยและทดลองใช้ในหลายประเทศทั่วโลก และเริ่มมีการขยับเข้าสู่ระบบบริการสุขภาพของไทยในปี 2025 คำถามสำคัญที่หลายคนอยากรู้คือ PrEP แบบฉีด ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพกว่าการกินยาทุกวันหรือไม่?
บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจทั้งสองรูปแบบ เปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย รวมถึงแนวโน้มในอนาคตว่าคนไทยจะสามารถเข้าถึง PrEP แบบฉีดได้ง่ายและปลอดภัยแค่ไหน
เนื้อหาตามหัวข้อ
PrEPแบบฉีด คืออะไร และทำไมสำคัญในปี 2025
PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) คือการใช้ยาต้านไวรัสเพื่อป้องกันการติดเชื้อ HIV ก่อนมีความเสี่ยง โดยในปัจจุบันประเทศไทยใช้ PrEP แบบกิน เป็นหลัก ซึ่งต้องรับประทานทุกวันหรือเฉพาะช่วงเสี่ยง ส่วน PrEP แบบฉีดเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ใช้ตัวยา Cabotegravir Long-Acting ฉีดเข้ากล้ามเนื้อทุก 2 เดือน
ในปี 2025 องค์การอนามัยโลก (WHO) และ UNAIDS ได้ย้ำถึงความสำคัญของการขยายการเข้าถึง PrEP โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM), กลุ่มวัยรุ่น และผู้ที่มีคู่ติดเชื้อ HIV
ความแตกต่างระหว่าง PrEP แบบกิน และ PrEP แบบฉีด
PrEP แบบกิน (Daily Oral PrEP)
- ต้องรับประทานทุกวัน
- ใช้ตัวยา Tenofovir + Emtricitabine
- ได้ผลป้องกันสูงกว่า 90% หากกินสม่ำเสมอ
- มีความยืดหยุ่น สามารถหยุดหรือเริ่มใหม่ได้ง่าย
- ปัญหาคือหลายคน ลืมกินยา หรือกินไม่ตรงเวลา ทำให้ประสิทธิภาพลดลง
PrEP แบบฉีด (Injectable PrEP)
- ใช้ตัวยา Cabotegravir Long-Acting (CAB-LA)
- ฉีดเข้ากล้ามเนื้อทุก 2 เดือน
- ลดปัญหาการลืมกินยา เพราะฉีดครั้งเดียวคุ้มกันยาว
- มีประสิทธิภาพสูงกว่าการกินในงานวิจัย HPTN 083 และ HPTN 084
- ต้องเข้าพบแพทย์ตามนัดเพื่อฉีด ทำให้มีความต่อเนื่องในการติดตามสุขภาพ
งานวิจัยล่าสุดที่สนับสนุน PrEP แบบฉีด
งานวิจัย HPTN 083 ที่ทำในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย พบว่า PrEP แบบฉีดมี ประสิทธิภาพสูงกว่าแบบกินถึง 66% ในการป้องกันการติดเชื้อ HIV และงานวิจัย HPTN 084 ในกลุ่มผู้หญิงก็ให้ผลคล้ายกัน
ข้อมูลนี้ทำให้หลายประเทศเริ่มอนุมัติให้ใช้ PrEP แบบฉีด เช่น สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ, แอฟริกาใต้ และกำลังขยายสู่เอเชีย รวมถึงประเทศไทยในปี 2025
ข้อดีของ PrEP แบบฉีด
- ลดปัญหาลืมกินยา: ไม่ต้องกังวลว่าจะพลาดวันใดวันหนึ่ง
- ประสิทธิภาพสูงกว่าแบบกิน: มีระดับยาในร่างกายคงที่
- สะดวกสำหรับคนไม่อยากกินยาทุกวัน
- ติดตามสุขภาพง่ายขึ้น: เพราะต้องพบแพทย์ตามนัด
ข้อเสียและข้อควรระวังของ PrEP แบบฉีด
- ต้อง เข้ารับการฉีดทุก 2 เดือน ไม่สามารถทำเองที่บ้าน
- ค่าใช้จ่ายยังค่อนข้างสูงกว่าการกินยา
- อาจเกิดผลข้างเคียง เช่น ปวดบริเวณที่ฉีด, บวม, หรือมีผื่น
- การหยุดใช้กระทันหันอาจทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
PrEP แบบฉีดในประเทศไทย 2025

ประเทศไทยอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมสำหรับการนำ PrEP แบบฉีด เข้ามาในระบบบริการสุขภาพ โดยหลายคลินิกเฉพาะทาง เช่น Love2Test Partner Clinics, Hugsa Clinic Chiangmai และ RSAT เริ่มให้ข้อมูลและทดลองใช้ในบางพื้นที่
ในปี 2025 กระทรวงสาธารณสุขมีแผนขยายบริการให้ครอบคลุมกลุ่มเสี่ยงมากขึ้น แต่คาดว่าราคาจะยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญในการเข้าถึง
PrEP แบบฉีด ปลอดภัยกว่ากินจริงหรือ?
จากหลักฐานวิจัยชัดเจนว่า PrEP แบบฉีดมีประสิทธิภาพสูงกว่า และเหมาะสำหรับผู้ที่ลืมกินยา แต่เรื่องความปลอดภัยนั้นทั้งสองรูปแบบถือว่า ปลอดภัยใกล้เคียงกัน หากใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์
- หากคุณเป็นคนที่มีวินัยในการกินยา PrEP แบบกินยังคงได้ผลดีมาก
- หากคุณมักลืมกินยา หรือไม่อยากกินยาทุกวัน PrEP แบบฉีดอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
คำแนะนำสำหรับผู้ที่สนใจ PrEP แบบฉีด
- ปรึกษาแพทย์หรือคลินิกที่ให้บริการ PrEP ก่อน
- ตรวจสุขภาพและตรวจ HIV ทุกครั้งก่อนเริ่ม PrEP
- ติดตามนัดหมายฉีดทุกครั้งเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
- อย่าลืมว่าการใช้ถุงยางอนามัยควบคู่กันยังจำเป็น เพราะ PrEP ป้องกัน HIV ได้ แต่ไม่ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ
ปี 2025 ถือเป็นปีที่ PrEP แบบฉีด กำลังมาแรงในไทย และเป็นอีกก้าวสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อ HIV แม้ค่าใช้จ่ายและการเข้าถึงยังเป็นอุปสรรค แต่ในอนาคตหากรัฐสนับสนุนมากขึ้น PrEP แบบฉีดจะกลายเป็นทางเลือกหลักที่สะดวก ปลอดภัย และช่วยลดการติดเชื้อ HIV ในประเทศไทยได้อย่างมีนัยสำคัญ


