ซิฟิลิส (Syphilis) เกิดจากเชื้อแบคทีเรียเทรโพนีมา พัลลิดัม (Treponema pallidum) มีระยะฟักตัวประมาณ 2 – 4 สัปดาห์จนถึง 3 เดือน ชอบบริเวณที่มีความชื้น ถือเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จากการสัมผัสเชื้อโดยตรง เช่น การมีเพศสัมพันธ์ การสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ป่วย และติดต่อจากแม่สู่ลูกในครรภ์ได้ โรคนี้เคยระบาดและเป็นโรคที่น่ากลัวในอดีต โดยเฉพาะซิฟิลิสระยะที่สาม ผู้ป่วยอาจตาบอด ใบหน้าผิดรูป บางรายอาจมีอาการผิดปกติทางระบบประสาทคล้ายคนเสียสติ ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีจนเชื้อฝังลึกอาจเสี่ยงที่จะเสียชีวิต
เนื้อหาตามหัวข้อ
ซิฟิลิสชติดต่อกันได้อย่างไร ?
ซิฟิลิส สามารถติดต่อผ่านการนำเชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ทั้งหมด 3 ทาง คือ การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อซิฟิลิส การสัมผัสกับแผลบนร่างกายของผู้ติดเชื้อผ่านทางผิวหนัง แผลริมฝีปาก แผลในปาก หรือเยื่อบุต่างๆ และสุดท้ายคือ การติดเชื้อจากแม่ที่มีเชื้อไปสู่ทารกในครรภ์ ซึ่งโรคซิฟิลิสนั้นไม่สามารถติดต่อผ่านการใช้ของใช้ส่วนตัว ใช้เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว การใกล้ชิด การรับประทานอาหารร่วมกัน หรือการสัมผัสสิ่งต่างๆร่วมกันได้

ซิฟิลิสแบ่งออกเป็น 4 ระยะ
- ระยะที่ 1 เกิดตุ่มเล็กขนาด 2 – 4 มิลลิเมตร บริเวณอวัยวะเพศ ริมฝีปาก ลิ้น และหัวนม โดยตุ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนแตก เป็นแผล ไม่มีอาการเจ็บ หากปล่อยทิ้งไว้เชื้อจะเข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบ ระยะนี้เป็นระยะที่ยังไม่แสดงอาการเนื่องจากแผลและอาการต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโตจะค่อยๆ หายไป ผู้ป่วยจึงมักนิ่งนอนใจว่าไม่ได้เป็นอะไร
- ระยะที่ 2 หลังจากติดเชื้อระยะแรกประมาณ 2 – 3 สัปดาห์ เชื้อซิฟิลิสในต่อมน้ำเหลืองเริ่มเข้าไปสู่กระแสเลือด ส่งผลให้เกิดผื่นลักษณะเป็นตุ่มนูนขึ้นตามร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้า ไม่มีอาการคัน เรียกระยะนี้ว่า “ระยะออกดอก” บางครั้งอาจพบเนื้อตายเน่า มีน้ำเหลืองไหล ซึ่งมีเชื้อซิฟิลิสปน จึงเป็นระยะติดต่อโรคได้ง่าย แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจไม่แสดงอาการใดๆ มีเพียงไข้ เจ็บคอ หรือปวดเมื่อยตามข้อเท่านั้น ซึ่งเชื้อสามารถสงบอยู่ตามอวัยวะต่างๆ นานหลายปี เพียงแต่ตรวจพบว่ามีผลบวกของเลือดสูงมาก
- ระยะที่ 3 เรียกว่าระยะแฝง เป็นช่วงที่ไม่มีอาการ มารดาที่ตั้งครรภ์และเป็นโรคในระยะนี้ เชื้อซิฟิลิสสามารถติดต่อไปยังทารกในครรภ์ได้
- ระยะที่ 4 หลังจากได้รับเชื้อในระยะเวลานาน 2 – 30 ปี หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเชื้อจะทำลายอวัยวะภายใน รวมถึงอาจส่งผลให้ ตาบอด หูหนวก ใบหน้าผิดรูป สมองเสื่อมหรือเสียสติ เป็นอัมพฤกษ์อัมพาต ถ้าเชื้อลามไปถึงหัวใจ จะทำให้หัวใจล้มเหลว และเสียชีวิต
การวินิจฉัยซิฟิลิส
แพทย์จะสอบถามข้อมูลทั่วไป เช่น อาการความผิดปกติที่เกิดขึ้นของผู้ป่วย ประวัติการเจ็บป่วย พฤติกรรมด้านเพศสัมพันธ์ รวมไปถึงการตรวจร่างกายในเบื้องต้น ซึ่งแพทย์หรือพยาบาลจะตรวจดูบริเวณอวัยวะเพศหรือส่วนอื่นของร่างกายว่าพบแผลหรือความผิดปกติใด ๆ ที่อาจเกิดจากโรคซิฟิลิส ก่อนจะสั่งตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นเพิ่มเติม ซึ่งการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่มักใช้ในการวินิจฉัย ได้แก่
- การตรวจเลือด เป็นการตรวจหาเชื้อที่อยู่ในกระแสเลือดของผู้ป่วย โดยในบางรายที่ผลการตรวจออกมาว่ามีการติดเชื้อ อาจต้องมีการตรวจซ้ำอีกครั้งหลังจากการตรวจครั้งแรก เพื่อช่วยยืนยันการติดเชื้อที่ทำให้เกิดโรคซิฟิลิสขึ้น
- การเก็บตัวอย่างเชื้อไปตรวจ (Swab Test)ในกรณีที่ผู้ป่วยเกิดแผลหรือผื่นตามร่างกาย แพทย์อาจมีการเก็บตัวอย่างเชื้อบนผิวหนังหรือน้ำเหลืองจากแผลไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ หาเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคซิฟิลิสหรือไม่
การป้องกันซิฟิลิส
ลดความเสี่ยงจากการได้รับเชื้อ โดยเฉพาะการได้รับเชื้อผ่านทางเพศสัมพันธ์ จึงควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นโรคนี้ รวมไปถึงควรมีการป้องกันก่อนการมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้งซึ่งรวมถึงการมีเพศสัมพันธ์ทางปากด้วย บางกรณี เชื้อสามารถส่งผ่านทางการใช้เข็มฉีดยา จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์เหล่านี้ร่วมกัน

ซิฟิลิสรักษาได้อย่างไร ?
ซิฟิลิสสามารถรักษาได้ด้วยการ ใช้ยาปฏิชีวนะในกลุ่มเพนิซิลลิน (Penicillin) เป็นหลัก แม้ว่าอาการของโรคในระยะแรกมักเกิดขึ้นแล้วหายไป และอาการในระยะท้ายมักไม่ค่อยแสดงอาการ แต่เชื้อยังคงอยู่ในร่างกาย จึงจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยวิธีที่ถูกต้องก่อนโรคมีการพัฒนามากขึ้นจนรุนแรงต่อระบบอื่นในร่างกาย ในช่วงระหว่างการรักษา ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ เพื่อช่วยป้องกันการแพร่กระจายของโรคหรือกระตุ้นให้โรคเกิดการกำเริบมากขึ้นหากได้รับเชื้อจากผู้อื่นอีกครั้ง
ขอบคุณข้อมูล : lovefoundation, samitivejhospitals, pobpad